ตื่นเถิด…..SME ไทย
ฮือฮากระแสชินเดีย
จาก ไทยรัฐ วันจันทร์ที่ 5 กันยายน 2554
โดย TMB SME
ปฏิเสธไม่ได้ว่าอิทธิพลจากตลาดโลก ปั่นป่วนเศรษฐกิจบ้านเรากันถ้วนหน้าครับ แต่แม้ว่าชาติยักษ์ใหญ่จะพาเศรษฐกิจโลกผันผวนอย่างไร ถ้าเรารู้ทันกระแส โอกาสใหม่ ๆ มันเกิดขึ้นเสมอแหละครับ ดร.นิรุทธ์ พรมบุตร ผู้เชี่ยวชาญด้านวิเคราะห์ธุรกิจข้ามชาติกระซิบข้างหูผมว่า ……. ในเมื่อพายุของตลาดอเมริกาและยุโรปกำลังอ่อนกำลังลงอย่างน่าใจหาย นักพยากรณ์ตลาดต่างคาดการณ์ กันว่า จีน และ อินเดีย จะมาเป็นขั้วมหาอำนาจใหม่ที่น่าจับตา เกิดเป็น กระแสชินเดีย(Chindia Trend) ตลาดนี้กำลังจะดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้เบนเข็มมาซื้อขายในจีนและอินเดียมากขึ้นนะครับ เอสเอ็มอีไทยผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกลจะพลาดโอกาสนี้ได้อย่างไร ถ้าใครสนใจ “ จีน” ผมแนะนำว่า ตลาดสินค้าที่จับกลุ่มผู้ซื้อระดับบนกำลังมา ถ้าได้ส่งอาหารกระป๋องคุณภาพเยี่ยม เช่น ทูน่ากระป๋อง สับปะรดกระป๋อง หรือ ข้าวโพดหวานกระป๋อง หรือจะเป็นผลิตภัณฑ์ จากทะเลประเภทแช่แข็งที่คัดสรรมาอย่างดี เช่น หอยนางรม หรือปู และผลไม้ไทยเลื่องชื่อ เช่น เงาะ มะขาม ส้มโอ ทุเรียน ไปเจาะตลาดก็ดี เพราะตอนนี้อาตี๋ อาหมวย มีความเป็นอยู่ดีขึ้นและพฤติกรรมการบริโภคสินค้าของคนชนชั้นกลางที่นั่นกำลังมองหาสินค้าคุณภาพดี ๆ จากทั่วโลกมาสนองความต้องการของพวกเขาอยู่ สำหรับ “ อินเดีย” ผมแนะนำให้ตีให้ถูกจุดเพราะถ้าได้เจาะ ตลาดสินค้าเครื่องใช้เครื่องประดับอัญมณี หรือกลุ่มน้ำหอม น้ำปรุง แล้วเอสเอ็มอีไทยมีโอกาสเติบโตครับ เพราะสินค้าไทยมีจุดขายขึ้นชื่อเรื่องดีไซน์ และความประณีตอยู่แล้วแถมได้ยินข่าวดีว่าเอสเอ็มอีรายหนึ่ง รู้ซึ้งรสนิยมชื่นชอบกลิ่นหอมเย็นของ ไม้กฤษณา และพฤกษานานาพันธุ์ จึงกลั่นเป็นน้ำมันส่งออกไปขายรายได้งามทีเดียว ถ้าจับทางได้แล้ว ก่อนกระโจนลงไป ผมอยากให้รวบรวมข้อมูล พฤติกรรม วัฒนธรรมประเพณี และที่สำคัญ “ ความเชื่อ” ของแต่ละเชื้อชาติ เพื่อจะได้เสนอสนองได้อย่างถูกจุดถูกใจ “ คิดก่อน คิดต่าง” แล้วต้อง “ รอจังหวะ” ด้วย ก้าวแรกของธุรกิจต้องก้าวให้ถูกนะครับ และธุรกิจของคุณก็จะเติบโตแบบไม่สะดุด ผมเชื่อครับว่าคุณสามารถ Make THE Difference ในทุกก้าวธุรกิจของคุณได้ อย่างที่ทีเอ็มบีเชื่อครับว่าพลังในตัวคุณสามารถเปลี่ยนโลกให้ดีขึ้นได้ เพราะทุกคนมีพลังที่จะสร้างความแตกต่างอย่างสร้างสรรค์และมีคุณค่าให้แก่ตัวเองและสังคมเสมอ พบกันครั้งหน้า วันจันทร์ที่ 19 กันยา ยังมีเรื่อง SME ที่น่าสนใจไม่แพ้กันครับ tmbsme@tmbbank.com
|
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
9 กระแสหลักของไทยกับภูมิภาคเอเชียในทศวรรษนี้
นิรุทธ์ พรมบุตร,Ph.D.(Management)
CEO, Athomegroup co., Ltd.
ชฎาพร นาวัลย์
THE NATION
สำหรับผู้ประกอบการไทยทั้งบริษัทระดับชาติ บริษัทข้ามชาติ SME ในทศวรรษนี้ สิ่งที่จะได้เห็นและกำลังจะเกิดขึ้นในการจัดการธุรกิจจะมี 9 กระแสหลักที่จะต้องจับตาดู
1) การเชื่อมต่อโครงสร้างพื้นฐาน ( Infrastructure Connection ) ในภูมิภาคนี้จะเริ่มมีการเชื่อมต่อกันในระดับภูมิภาค โดยเฉพาะในภาคขนส่ง (Logistic) อย่างเช่น ประเทศจีนกำลังสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อมต่อประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคนี้ ทั้งในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เวียดนาม ไทย (ถ้าสามารถอนุมัติได้ทัน ไม่ตกรถไฟไปกับประเทศเพื่อนบ้าน) โดยใช้เมืองซีอานเป็นโครงสร้างการจัดตั้งท่าสินค้านานาชาติ (Xian International Trade & Logistic Park)
2) ธุรกิจบริการ (Service Business) ต้องยอมรับว่าโดยพื้นฐานประเทศไทยและคนไทยนั้น มีจิตใจบริการ (service mind) ที่ดีกว่าประเทศอื่น ๆ จึงสามารถประกอบธุรกิจประเภทธุรกิจบริการได้ดีกว่าประเทศอื่น ๆ ดูได้จากธุรกิจในประเทศไทยส่วนใหญ่ จัดเป็นธุรกิจบริการกว่า 44% ในประเทศพัฒนาและสัดส่วนจะอยู่ที่ 70% ในการทำธุรกิจบริการนั้นสามารถสร้างรายได้เข้าสู่ประเทศได้เป็นจำนวนมากโดยเฉพาะธุรกิจบริการกับชาวต่าง ชาติ ซึ่งเป็นโครงสร้างธุรกิจ (Business Model) ที่คนไทยถนัด ดังนั้นการที่ผู้ประกอบการไทยจะใช้จุดแข็งนี้ในการแข่งขัน ถือว่าเป็นจุดแข็งที่ดี เพราะโดยพื้นฐานเรายังสามารถเพิ่มสัดส่วนธุรกิจบริการนี้ได้อีกมาก
3) การควบรวมกิจการ (Merge) ในช่วงล่าสุดปลายปีที่ผ่านมา กระแสการควบรวมกิจการและเข้า ซื้อกิจการ (Merger And Acquisition) รวมถึงการสร้างพันธมิตรหลายรูปแบบ เกิดขึ้นกับธุรกิจหลากหลายประเทศ ทั้งในภูมิภาคเอเชียและทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจโทรคมนาคม ( บ.ทรูเข้าร่วมกับบ.ฮัทซ์ เพื่อผลประโยชน์ด้านสัมปทาน ) ธนาคาร (ธ.ธนชาติ เข้าซื้อกิจการธ.นครหลวงไทย โดยได้ผลประโยชน์ด้านสินทรัพย์ที่โตอย่างมาก, ธ.เมย์ แบงค์ ธนาคารเบอร์หนึ่งจากมาเลเซียเข้าฮุบกิจการนายหน้าค้าหลักทรัพย์ของกิมเอ็ง โอลดิ้งที่สิงคโปร์ โดยได้บริษัทลูก กิมเอ็งที่เมืองไทยที่เป็นบริษัทตัวแทนนายหน้าค้าหลักทรัพย์อันดับ 1 ในตลาดหลักทรัพย์ แห่งประเทศไทยไปด้วย ) และอีกหลายธุรกิจที่สามารถสร้างผลประโยชน์รวมกัน จากการรวมกิจการซึ่งเป็นเรื่องปกติในโลกทุนนิยม ซึ่งสำหรับวัฒนธรรมองค์กรของบริษัทข้ามชาติหลายบริษัท โดยเฉพาะในฝั่งตะวันตกถือว่าการเข้าควบรวมกิจการนั้น เป็นเรื่องที่สร้างผลตอบแทนให้บริษัทได้ง่ายและไวกว่าการที่จะมาเริ่มสร้างธุรกิจจากเริ่มต้น ซึ่งผู้ประกอบการที่ดีควรจะดูว่าแนวโน้ม การควบรวมกิจการจะมีผลต่อตลาดธุรกิจเช่นไร จะได้เตรียมแผนรับมือได้อย่างเหมาะสม
4) การเพิ่มขึ้นของคนชนชั้นกลาง สถาบันและองค์กรวิจัยระหว่างประเทศหลายแห่งออกมาวิเคราะห์ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย เมื่อมีการบริโภค การขยายตัวทางเศรษฐกิจ ทำให้จำนวนประชากร ซึ่งมีฐานะยากจนจะมีสัดส่วนลดลงเรื่อย ๆ พร้อม ๆ ผู้ซึ่งมีฐานะในระดับที่เรียก ๆ กันว่า “ ชนชั้นกลาง” (Moderate People) ทั้งหลายกลับขยายตัวเพิ่มมากขึ้นแบบพรวด ๆ ซึ่งในประเทศไทย ไทยแลนด์แดนสยามในช่วงหลัง ๆ ที่ทุนนิยมเข้ามามีบทบาทมากในช่วง 7-8 ปีนี้ ทำให้เกิดชนชั้นกลางแบบใหม่ ๆ มีสัดส่วนมากกว่า 30 % ของพลเมืองที่มาพร้อมกับความสามารถในการบริโภค กิน เที่ยว ประชานิยมอีกที่หลายพรรคการเมืองประเคนแทบจะทะลักมากขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการควรขยับมาจับตลาดผู้บริโภคชั้นกลางนี้ ที่มีลักษณะยินดีจ่ายสินค้าฟุ่มเฟือย โดยเน้นที่การตอบสนองทางด้านอารมณ์ความต้องการก่อน
5) ธุรกิจส่งออก แนวโน้มธุรกิจการส่งออกในภูมิภาคเอเชียโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งการเติบโต ของธุรกิจในจีน, อินเดีย ทั้งยังการเติบโตของแนวโน้มสายการบินที่โต ทำให้หนุนอุตสาหกรรม การท่องเที่ยวนั้น ธุรกิจการส่งออกจึงเติบโตด้วย โดยเฉพาะผลของการเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียน (Asean Free Trade Area: AFTA) ที่ทำให้อัตราภาษีต่ำและปราศจากข้อจำกัดทางการค้า ทั้งยังทำให้ดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้มาสนใจซื้อ-ขาย ในอาเซียนด้วย ซึ่งยังทำให้ธุรกิจการส่งออกโต ดังนั้นผู้ประกอบการที่ดี ควรมองหาโอกาสและลู่ทางที่เราจะได้ประโยชน์จากการค้าเสรี
6) กระแสชินเดีย (Chindia Trend) ในปีหลัง ๆ ที่ภูมิภาคเอเชียมีการเติบโตอย่างดี จะเริ่มคุ้นเคย กับคำว่า “ไชนา ” (China) หรือจีน เข้ากับ “ อินเดีย ”( India) ซึ่งเป็นสองขั้วอำนาจใหญ่ทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย ที่มีประชากรใหญ่เป็น 2 อันดับแรกในภูมิภาคเอเชียนี้ และมีอัตราแนวโน้มการขยายตัวสูงมากเฉลี่ยในจีนปีละ 8-10 % อินเดีย 8% ซึ่งสามารถทำให้ผู้บริโภคในจีนและอินเดีย ซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ในภูมิภาคนี้มีอำนาจในการบริโภคสูงด้วย ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีของผู้ประกอบการไทย
7) เงินตราในภูมิภาค จากการที่สภาพเศรษฐกิจในอเมริกา ยุโรปบางส่วนตกต่ำ แต่ในขณะที่เศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียนี้โต ทำให้บางครั้งประเทศคู่ค้าซึ่งกันและกันก็สามารถตกลงซื้อขายกันเองด้วยอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างคู่ค้าได้ โดยสถานการณ์ล่าสุด สกุลเงินในภูมิภาคเอเชียแข็งแกร่งขึ้น เป็นผลมาจากมาตรการการคุมเงินเฟ้อ-แทรกแซงตลาด ทำให้ความผันผวนลดลง ในภูมิภาคเอเชีย กลุ่มนักลงทุนรายใหญ่ของโลกพุ่งเข้ามาลงทุนในค่าเงินเอเชีย หลังจากธนาคารกลางประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคนี้ขยับขึ้นดอกเบี้ยและเข้าแทรกแซงตลาด เพื่อจำกัดการแกว่งตัวของอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งผู้ประกอบการที่ดีควรหาทางป้องกันความเสี่ยงนี้ด้วย
8) การทำธุรกิจในภูมิภาคเอเชีย เมื่อมีการค้าขายระหว่างประเทศกันในภูมิภาคเอเชีย ก็ทำให้ มีการทำธุรกรรมกันในภูมิภาคนี้อย่างกว้างขวาง ทั้งในรูปแบบปกติและรูปแบบธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างกัน โดยเชื่อมกันผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ตัวอย่างเช่น Online Banking, Online Stock Trading, E-Government, สินเชื่อลูกหนี้ระหว่างประเทศ (International Factoring) ก็จะเริ่มได้ยินและมีการให้บริการกันมากขึ้น ผู้ประกอบการที่ดีก็ควรศึกษา ทำความเข้าใจและเตรียมความพร้อมในเรื่อง ดังกล่าวด้วย
9) การปรับปรุงโครงสร้างภาษี
ในแต่ละประเทศมีอัตราโครงสร้างภาษีที่แตกต่างกัน
ประเทศ |
อัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม% |
อัตราภาษีสูงสุดของรายได้นิติบุคล% |
จีน |
6 |
25 |
อินเดีย |
4 |
30 |
ญี่ปุ่น |
5 |
35 |
มาเลเชีย |
5 |
25 |
ฟิลิปปินส์ |
10 |
25 |
สิงคโปร์ |
5 |
17 |
ไทย |
7 |
30 |
ในประเทศต่าง ๆที่รัฐบาลสนับสนุนทางด้านการค้า การขาย อย่างเต็มที่อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มในประเทศนั้น ๆ จะไม่สูงมาก เช่น ในสิงคโปร์ ญี่ปุ่น
จะเห็นว่าจากข้อมูลในตารางประเทศไทยเป็นประเทศที่มีอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มสูงมาก รองจากแค่ฟิลิปปินส์ ซึ่งอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มที่สูงมาก ก็เป็นกำแพงกั้นไม่ให้การบริโภคของประชาชนสูงเฟ้อเกินไป แต่รายได้อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มในประเทศไทยนั้นก็เป็นรายได้หลักของรัฐบาลไทย ดังนั้นถ้ารัฐบาลที่บริหารได้ดีต้องสามารถบริหารหรือลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม ให้พอเหมาะที่ทำให้เกิดการกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชน และทำให้รายได้ภาครัฐดีและมั่นคงไปด้วย ซึ่งจะเห็นอย่างในมาตรการการหาเสียงของบางพรรคการเมืองก็ขายฝันไว้ว่า จะลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มของไทยให้อยู่ที่ร้อยละ 5% แต่ก็ต้องรักษารายได้ของภาครัฐด้วยนะครับ ไม่ใช่ขายฝันอย่างเดียว ส่วนในด้านของอัตราภาษีของนิติบุคคลที่สูงที่สุดของประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียเป็นดังนี้
การเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราสูงมากเกินไป ทำให้เหมือนว่าแต่ละบริษัท มีการหลบเลี่ยงภาษี เพื่อให้ฐานภาษีน้อยหรือบริษัทไม่พยายามทำให้รายได้เข้ามาในระบบ เพราะจะต้องเสียภาษีสูงขึ้น แต่ถ้าหากว่ารัฐบาลพยายามลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลนี้ ในอัตราต่ำลง พอเหมาะพอสมควร และเมื่อมีการเปิดการค้าเสรีก็ยิ่งจะเป็นแรงกดดันให้มีอัตราภาษีของประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะของประเทศไทยที่จะต้องไม่ต่างจากประเทศอื่น ๆ มากนัก ดังนั้นผู้ประกอบการที่ดีควรจะเตรียมวางแผนภาษีไว้ล่วงหน้าจะเป็นการดี เมื่อมีการเปิดเขตการค้า หรือตามกระแสหลักของภูมิภาคเอเชียนี้
ความคิดเห็น